ยิ่งลักษณ์หนีคุก หนีคดี กระทั่งได้หมายจับเพิ่มมาอีกจนได้!
1. เมื่อวานนี้ (19 เม.ย. 2565) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการพิจารณานัดแรกเพื่อฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่รับฟ้อง คดีหมายเลขดำ อม.2/2565 คดีฮั้วจัดจ้างโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โจทก์
จำเลย ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยที่ 1, นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล จำเลยที่ 2, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ จำเลยที่ 3, บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 4, บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 5 และนายระวิ โหลทอง กรรมการผู้บริหารบริษัท สยามสปอร์ตฯ จำเลยที่ 6
กรณีกล่าวหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาที่เป็นธรรมในการจัดจ้างโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท
2. เมื่อวานนี้ จำเลยทุกคนมาศาล
จำเลยรายอื่น จึงไม่มีใครถูกหมายจับ
ทุกคน ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ยังมีสิทธิต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป
แต่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำเลยที่ 1 ไม่มาศาลโดยอ้างว่าใช้วิธีเซ็นเอกสารแต่งตั้งจากสหราชอาณาจักรให้ทนายความเป็นผู้มาฟังการพิจารณาแทน
3. เมื่อวานนี้ ศาลฎีกาฯได้มีคำสั่งให้รับฟ้องในคดีดังกล่าวโดยกำหนดให้วันที่ 12 ก.ย. 2565 เป็นวันนัดตรวจพยานหลักฐาน พร้อมออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไม่มาศาล เนื่องจากมีพฤติกรรมเชื่อได้ว่าจะหลบหนีการพิจารณาคดี จึงได้ให้มีการพิจารณาคดีลับหลัง และให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตามตัวกลับมา
นอกจากนี้ ศาลฎีกาฯ ยังได้อนุญาตนายระวิ จำเลยที่ 6 ไม่ต้องมาฟังการพิจารณาเนื่องจากอายุมากและมีปัญหาสุขภาพ
4. ไม่ใช่ว่าไม่มาเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบในชั้น ป.ป.ช. และชั้นศาลแล้ว จะถูกชี้ว่ามีความผิดเสมอไป
ในหลายคดีก่อนหน้านี้ ในชั้น ป.ป.ช. ยิ่งลักษณ์และทักษิณ ที่หนีคุกหนีคดีอยู่ ไม่ได้เดินทางมาชี้แจงในกระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช.ก็ยกประโยชน์ให้เมื่อเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอเอาผิด โดย ป.ป.ช.ยกคำร้องในชั้น ป.ป.ช.เลยก็มี
ในชั้นศาลฎีกาฯ พิพากษายกฟ้องไปก็มี เช่น ยกฟ้องทักษิณคดีทีพีไอ คดีเงินกู้กรุงไทย เป็นต้น
5. คดีนี้ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลยิ่งลักษณ์กับพวก และ ป.ป.ช.ได้ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาฯ
ป.ป.ช.ได้เคยแจกแจงรายละเอียดเบื้องต้น เพื่อยืนยันว่า ไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง แต่เป็นการยื่นฟ้องตามพยานหลักฐานข้อเท็จจริง
กรณีนี้ ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า ก่อนจะเริ่มต้นกระบวนการจัดจ้างปลายเดือนสิงหาคม 2556 นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นได้เรียกประชุม เพื่อเตรียมการจัด Roadshow โดยมี นายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการทั่วไป บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และตัวแทนบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เข้าพบนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ที่ห้องทำงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับทราบและตกลงเป็นผู้รับจัดงาน Roadshow ทั้งสิ้น 12 จังหวัดทั่วประเทศ จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 240 ล้านบาท ทั้งที่ยังไม่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ
เมื่อตรวจสอบงบประมาณประจำปี 2556 ก็ไม่ได้ระบุแผนงาน/โครงการดังกล่าวไว้ ประกอบกับงบประมาณประจำปี 2557 ประกาศใช้ไม่ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2556 แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ได้อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 40 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ Roadshow และเห็นชอบให้จัดโครงการใน 2 จังหวัดก่อน ได้แก่ จังหวัดหนองคายและจังหวัดนครราชสีมา ทั้งที่ขณะนั้นมีหลายฝ่ายออกมาทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ.สองล้านล้านบาท อาจขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหลายประการ และมีการเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เช่น ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ผู้นำฝ่ายค้านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน เป็นต้น
นอกจากนี้ การจัดงานดังกล่าวยังซ้ำซ้อนกับงานนิทรรศการที่กระทรวงคมนาคมได้จัดไปก่อนแล้วประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่า หากไม่ดำเนินการโครงการ Roadshowในขณะนั้นแล้วทางราชการหรือประชาชนจะได้รับความเสียหายแต่อย่างใดสถานการณ์ในขณะนั้น จึงยังไม่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะออกไป Roadshow ร่างพ.ร.บ. ดังกล่าวแต่อย่างใด
ป.ป.ช.ระบุว่า ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่บริษัทฯได้เข้าพบผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นเอกสารข้อเสนอด้านราคา วงเงิน 40 ล้านบาท แต่เนื่องจากสำนักงบประมาณยังไม่ได้แจ้งใบงวด ทำให้ยังไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ จึงได้มีการนัดหมายให้บริษัท มายื่นเสนอราคาใหม่ โดยในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่บริษัท ได้มอบเอกสารข้อเสนอด้านราคาวงเงิน 40 ล้านบาทไว้ให้กับผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง
ต่อมา นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ได้เห็นชอบราคากลางโครงการ Roadshow จังหวัดหนองคาย และจังหวัดนครราชสีมาในวงเงิน 40 ล้านบาท ซึ่งตรงกับข้อเสนอด้านราคาของบริษัทฯ ที่ได้ยื่นไว้ต่อผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง และได้มีการสืบราคาเพิ่มเติมจากสื่อ จำนวน 3 ราย แต่เป็นสื่อในเครือเดียวกับบริษัทฯ ทั้งสิ้น และในวันเดียวกันบริษัทฯ ได้ยื่นเอกสารเสนอราคา ซึ่งนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายนิวัฒน์ธำรงบุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ก็เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้างบริษัทฯ เป็นผู้รับจ้างจัดโครงการ Roadshow 2 จังหวัดดังกล่าว และมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางลงนามในหนังสือสั่งจ้างต่อไป
กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนการลงนามในหนังสือสั่งจ้าง ใช้เวลาดำเนินการเพียง 2 วัน
ต่อมา นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันอนุมัติหลักการจัดโครงการ Roadshow อีก 10 จังหวัดที่เหลือ วงเงิน 200 ล้านบาท
นี่คือตัวอย่างบางส่วนของพฤติการณ์ที่ทำให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และนำคดีมาสู่ศาล
ผู้ถูกชี้มูลทุกคน ปฏิเสธว่ามิได้กระทำผิดกฎหมาย และพร้อมต่อสู้คดี
ยกเว้นแต่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ หนีคดี หนีคุกอยู่ต่างแดน
สารส้ม