ประเทศไทยทำข้อตกลงสร้างรถไฟความเร็วสูงตามเส้นทางสายไหมกับจีนมาตั้งแต่ปลายปี 2557 จนถึงวันนี้เพิ่งก่อสร้างไปได้ 3.5 กิโลเมตร จากบ้านกลางดงถึงบ้านปางสีดา แถวเขาใหญ่ ซึ่งสร้างแล้วก็ใช้การเดินรถไม่ได้ ในขณะที่ลาวทำข้อตกลงสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางสายไหมกับจีนหลังไทย 2 ปี แต่เปิดเดินรถเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันชาติลาว คือวันที่ 2 ธันวาคม 2564
แทนที่จะสำนึกว่าเกิดความผิดพลาดล้มเหลวหรือบูดเบี้ยวอะไรกันแล้วหาทางแก้ไขให้คืนดีโดยการปฏิบัติตามข้อตกลงที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติไว้ ก็จะทำให้การเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟเส้นทางสายไหมของไทยสามารถเชื่อมกับลาวไปยังจีนและทั่วโลกได้เร็วขึ้น
กลับมีการแก้ตัวโกหกลวงโลกสารพัดว่าจีนเอาเปรียบไทยบ้าง จีนจะยึดที่ดินไทยบ้าง กระทั่งทำให้ไทยเสียเปรียบทางการค้าบ้าง กระทั่งโกหกกันดื้อๆ ว่ารถไฟไทย-จีน จะเสร็จแล้ว จะเชื่อมกับลาวไปยังทั่วโลกได้ รวมความว่าแก้ตัวและโกหกสารพัดเพื่อทำให้รถไฟไทย-จีน ดำเนินการไม่เป็นไปตามข้อตกลงตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติไว้
จะบูดเบี้ยวจีนก็ว่ากันไป จะโกหกหลอกลวงคนไทยอย่างไรก็ว่ากันไป แต่ในที่สุดกลับลามปามไปกล่าวหาดูถูกลาวว่าโง่เง่าเต่าตุ่นสารพัด เช่น
โกหกหลอกลวงว่าการสร้างทางรถไฟจีน-ลาว ทำให้ลาวเป็นหนี้จีนมหาศาล จนต้องเอาเหมืองทองของลาว 5 แห่งไปจำนองเป็นประกัน ทั้งที่ความจริงลาวไม่ได้เป็นหนี้จีนเลยและไม่ได้เอาเหมืองทองไปจำนองใดๆ ด้วย
เพราะโครงการรถไฟจีน-ลาว เป็นโครงการตั้งบริษัทร่วมลงทุน จีนถือหุ้น 70% ลาวถือหุ้น 30% และเป็นหน้าที่ของบริษัทร่วมลงทุนนี้ในการจัดหาเงินมาลงทุน ลาวจึงไม่ได้เป็นหนี้จีนดังที่โกหกกัน
โกหกลวงโลกต่อไปอีกว่าลาวทำสัญญาเสียเปรียบจีนยอมให้จีนยึดที่ดินสองข้างทางรถไฟความเร็วสูงข้างละ 100 เมตร ทำให้ลาวเสียดินแดนแก่จีน
ความจริงคือสองข้างทางรถไฟความเร็วสูงนั้นเป็นพื้นที่ความปลอดภัย ที่ต้องกั้นรั้วสองชั้นทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดไม่ว่าสัตว์หรือคนเข้ามาใกล้เส้นทางรถไฟได้เพราะจะเป็นอันตรายซึ่งเขาทำกันทั้งโลก แม้กระทั่งมอเตอร์เวย์เขาก็มีพื้นที่ปลอดภัยเช่นนี้
พื้นที่ความปลอดภัยดังกล่าวนั้นเป็นของลาวและจีนก็ไม่ได้ยึดไป เป็นแต่ใช้ประโยชน์ใดๆ ไม่ได้เพราะต้องกันไว้ไม่ให้ใครเข้ามาในพื้นที่เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย
ยังโกหกหลอกลวงต่อไปด้วยว่าลาวโง่เขลา ทำข้อตกลงก็เพื่อให้จีนเข้ามายึดเศรษฐกิจของลาว เพราะชาวลาวยากจนไม่มีเงินแม้จะซื้อตั๋วรถไฟ ซึ่งประการนี้ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ลาวอดทนและเกรงอกเกรงใจไทย
จึงตอกหน้ากลับมาว่าลาวไม่ได้โง่ และคนลาวก็ไม่ได้ยากไร้ถึงขั้นไม่มีเงินซื้อตั๋วรถไฟ การก่อสร้างรถไฟนี้เป็นความปรารถนาของคนลาวทั้งประเทศ สื่อมวลชนไทยอย่าไปเสือกเรื่องของลาว
กระทั่งผู้นำรัฐบาลลาวก็อดทนไม่ไหวต้องออกมาตอบโต้เช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือกล่าวหาว่าสื่อใหญ่ที่เป็นเจ้ากี้เจ้าการโกหกหลอกลวงโลกดูหมิ่นเหยียดหยามลาวนั้นเป็นสื่อของรัฐบาลไทย
ดังนั้นใครมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องก็ควรต้องหาทางหยุดยั้งปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวนี้อย่าให้บานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ เพราะไม่ว่าใครไหนในโลกนี้ก็ไม่อยากให้ใครดูหมิ่นเหยียดหยาม โดยเฉพาะดูหมิ่นเหยียดหยามด้วยการโกหกลวงโลก
เส้นทางรถไฟลาว-จีน เปิดเดินรถแล้วคึกคักอย่างยิ่ง ส่งผลสะเทือนอย่างกว้างขวางทั่วทั้งภูมิภาค รัฐบาลลาวได้แถลงว่ารถไฟสายนี้สามารถเชื่อมต่อประเทศลาวไปยังหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ลาวพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วขึ้น มีการสร้างเมืองใหม่ขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งเป็นความยินดีปรีดาของชาวลาวทั้งประเทศ
เพียงสองสัปดาห์หลังจากเปิดการเดินรถปรากฏว่ามีผู้คนโดยสารท่องเที่ยวกันคึกคักเอิกเกริกจนต้องเพิ่มการเดินรถขึ้นอีก 6 เท่าตัว
ในขณะที่รถไฟไทย-จีนนั้นแม้ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคายก็มีการแถลงว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2569 และจะเปิดการเดินรถได้ในปี 2570 สำหรับช่วงโคราชไปหนองคาย จะเปิดการเดินรถได้ในราวปี 2575 คืออีก 10 ปีข้างหน้า
ต่อให้สร้างรถไฟจากกรุงเทพฯ-โคราช ถึงหนองคาย ก็มีฐานะเป็นแค่รถไฟในประเทศและเชื่อมต่อกับเส้นทางสายอื่นในประเทศไม่ได้เพราะใช้รางคนละขนาด
รถไฟสายนี้จะเชื่อมประเทศไทยเข้ากับทั่วโลกได้ก็ต้องสร้างทางรถไฟเชื่อมจากหนองคายไปเวียงจันทน์ให้ได้ก่อนจึงจะเดินรถต่อไปถึงจีนไปทั่วประเทศจีนและไปทั่วโลกได้ จึงจะสามารถขนสินค้าจากไทยไปจีนและทั่วโลกได้ ซึ่งเป็นระยะทางช่วงนี้เพียง 16 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาทเท่านั้น และถ้าทำเป็นก็ไม่ต้องลงทุนเลยแม้แต่บาทเดียว
ทว่าไม่รู้ภูตผีปีศาจตนใดมาสิงใจจึงไม่รีบเชื่อมต่อเส้นทางหนองคายกับเวียงจันทน์เสียก่อน ตามที่ได้วางแผนกันไว้ ในยุคที่พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งถ้าปฏิบัติตามแผนนั้นตามข้อตกลงที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติไว้ ก็จะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดการเดินรถไฟในปลายปี 2565
ในการที่นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนเข้าพบรัฐมนตรีคมนาคมเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ปรากฏว่าไม่มีการระบุว่าจะทำความตกลงระหว่างไทย-ลาว-จีน เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟจากหนองคายไปเวียงจันทน์เมื่อใด ทั้งๆ ที่เรื่องนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับสั่งการไปแล้วอย่างน้อยสองครั้ง และมีการประชุมกันแล้วที่ปักกิ่งสองครั้งแต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ขอเพียงสร้างสถานีเดียวจากหนองคายไปเวียงจันทน์เท่านั้น นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกก็จะเข้ามาถึงประเทศไทยที่หนองคายได้ ประเทศไทยก็สามารถขนคนโดยสารและสินค้าไปขึ้นรถไฟที่หนองคายไปยังประเทศจีนและทั่วโลกได้ ทำไมจึงไม่ทำ?
แผนการก่อสร้างเดิมในยุคพลอากาศเอกประจินจั่นตอง รถไฟไทย-จีน จะเริ่มสร้างจากหนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น โคราช สระบุรี กรุงเทพฯ ซึ่งเมื่อเริ่มต้นเพียงสถานีเดียวแล้วก็เท่ากับเชื่อมต่อประเทศไทยกับทั่วโลกได้ สร้างสถานีถัดๆ มาก็ทำให้ทุกสถานีสามารถเชื่อมต่อไปยังประเทศจีนและทั่วโลกได้
แต่เบี้ยวบิดตะกูดกันกลับหัวเป็นหาง มาเริ่มสร้างจากบ้านกลางดง บ้านปางสีดา 3.5 กิโลเมตร ในช่วงกรุงเทพฯ-โคราช ซึ่งต้องลงทุนถึง 170,000 ล้านบาท ต่อให้สร้างเสร็จก็เชื่อมต่อกับใครไม่ได้ การลงทุนนี้ก็จะป่นปี้ย่อยยับ และในช่วงสั้นๆ นี้ก็แบ่งสัญญาออกนับสิบตอน ตอนละราว10 กิโลเมตร เปิดประมูลทั่วไปให้ผู้รับเหมาประมูลแข่งกัน ซึ่งผิดข้อตกลงตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติไว้
เมื่อแบ่งสัญญาออกนับสิบสัญญา หากสัญญาใดก่อสร้างล่าช้าหรือไม่แล้วเสร็จ เส้นทางกรุงเทพฯ-โคราช ก็เดินรถไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะล่าช้าไปนานสักเท่าใด นี่ถ้าไม่มีเจตนาขัดขวางการเชื่อมต่อรถไฟเส้นทางสายไหมไทย-จีนแล้ว คนโง่ที่สุดก็คิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้
ดังนั้นเมื่อใดที่ประเทศไทยมีรัฐบาลของประชาชนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติและไม่ต้องการปิดประเทศทางบกที่จะเชื่อมต่อไปยังลาว จีน และทั่วโลกก็จะต้องรีบนำแผนงานการก่อสร้างรถไฟสายนี้ยุคพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง มาทำให้เร็วที่สุด
แค่รถไฟลาว-จีน เปิดเดินรถก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยแล้ว เพราะคนไทยก็จะแห่ไปเที่ยวในเส้นทางสายนี้กันหมด การขนส่งสินค้าของไทยก็เหลือแต่การขนส่งทางทะเลที่แหลมฉบัง มาบตาพุดเท่านั้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ บรรดานักลงทุนทั้งหลายที่มาลงทุนไว้ใน EEC ใครเขาจะมาลงทุนหรืออยู่ไปให้โง่ จึงมีแต่การย้ายทุนไปที่อื่น นี่คือหายนะจากการบิดเบี้ยวที่มีเบื้องลึก เบื้องลับ เบื้องหลัง ไม่ให้ประเทศไทยติดต่อกับใครในทางบกได้นั่นเอง